1. เลือกขนาด BTU แอร์ให้เหมาะกับพื้นที่ห้อง เพื่อให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และแอร์ขนาด 9,00021,000 BTU เหมาะกับห้องขนาดเล็กถึงปานกลางอย่างคอนโด
แอร์ขนาด 21,00030,000 BTU เหมาะกับห้องขนาดกลางถึงใหญ่ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องโถง ส่วนแอร์ขนาดใหญ่ 30,00036,000 BTU เหมาะกับห้องขนาดใหญ่ เช่น โฮมออฟฟิศ ร้านอาหาร คาเฟ่ เป็นต้น
2. เปิดแอร์ 26-27 องศาฯ ควบคู่กับเปิดพัดลม การเปิดพัดลมช่วยอีกทางจะเป็นการระบายความร้อน เพิ่มการเคลื่อนที่ของอากาศภายในห้อง และทำให้อุณหภูมิในห้องเย็นเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดค่าไฟลงได้ 10%
3. ล้างแอร์เป็นประจำทุก 6 เดือน หมั่นล้างแผ่นกรองแอร์เป็นประจำทุก 1 เดือน และล้างแอร์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อกำจัดฝุ่นที่เกาะกรังอยู่ภายใน ซึ่งจะทำให้แอร์ทำงานได้อย่างเต็มกำลัง
4. ปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน และไม่ควรปิดๆ เปิดๆ แอร์บ่อยๆ การปล่อยให้แอร์ทำงานยาวนานต่อเนื่อง ย่อมดีกว่าการเปิดๆ ปิดๆ แอร์ เพราะช่วงการทำงานของแอร์ที่กินไฟที่สุดคือ ช่วงที่เราเริ่มเปิดแอร์ และสตาร์ตมอเตอร์ เพราะฉะนั้นยิ่งเปิดแอร์บ่อย ก็ยิ่งกินไฟมากยิ่งขึ้น
5. ตั้งเวลาปิดแอร์ ช่วยเซฟค่าไฟ การตั้งเวลาปิดแอร์เป็นการควบคุมชั่วโมงการใช้แอร์ที่เหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่อากาศไม่ได้ร้อนมากจนเกินไป อาจหันไปใช้พัดลมแทน
6. ปิดประตู หน้าต่างในห้องให้สนิท ยิ่งภายในห้องมีช่องให้ลมแอร์เล็ดลอดผ่านไปหรือลมร้อนจากภายนอกผ่านเข้ามามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้แอร์ต้องทำงานหนักเพื่อรักษาอุณหภูมิความเย็นให้คงที่
1. BTU (หน่วยวัดปริมาณความร้อน)
ก่อนจะเลือกซื้อแอร์บ้านยี่ห้อไหนดีนั้น สิ่งแรกที่ต้องดูเลยคือ BTU หรือหน่วยพลังงานมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ทำความเย็น หนึ่งตันทำความเย็นเท่ากับ 12000 บีทียู/ชม. เราควรเลือกซื้อแอร์ด้วยการเลือก BTU กับขนาดห้องที่เหมาะสม เนื่องจากเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงมักจะหยุดวงจรคอมเพรสเซอร์บ่อยขึ้น เพิ่มระดับความชื้นในห้อง และทำงานหนักขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่ออุณหภูมิห้องไม่ตรงกับการตั้งค่า จะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากเกินไป นอกจากไม่ช่วยประหยัดไฟแล้วอาจทำให้ต้องจ่ายค่าไฟมากขึ้นด้วย ตัวอย่างการเลือก คือ หากห้องของคุณมีขนาด 15-17 ตร.ม. ควรเลือกแอร์รุ่นไหนดีที่มี BTU 9500-11000 หากมีห้องขนาด 18-20 ตร.ม. ควรเลือกแอร์ที่มี BTU 12000-13500 หรือถ้าห้องขนาดใหญ่ 34-44 ตร.ม. ก็ต้องเลือกแอร์ที่มี BTU สูงสุดคือ 24000-26500 เป็นต้น
2. เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์
ระบบปรับอากาศที่ปรับอุณหภูมิห้อง การควบคุมความชื้นให้สมดุล และควบคุมอุณหภูมิโดยอัตโนมัตินั้น จะทำงานภายใต้โปรแกรมไมโครคอมพิวเตอร์ ที่ได้รับการออกแบบมาให้เป็นไปตามการตั้งค่าบนรีโมทคอนโทรลโดยอัตโนมัติ และทำงานตามการตั้งค่าที่เรากำหนด เช่น เมื่ออุณหภูมิห้องถึงระดับที่ตั้งโปรแกรมไว้ คอมเพรสเซอร์จะชะลอความเร็วรอบแทนที่จะหยุดวงจรทั้งหมด คุณภาพนี้ทำให้ระบบอินเวอร์เตอร์เหนือกว่าระบบอื่น ๆ เพราะคอมเพรสเซอร์จะหยุดหมุนเมื่ออุณหภูมิถึงระดับที่ต้องการ และจะเริ่มหมุนอีกครั้งเมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น ทำให้ลดการใช้พลังงานได้มาก และทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง ซึ่งเครื่องปรับอากาศอินเวอร์เตอร์นั้นจึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน หากต้องการแอร์ยี่ห้อไหนดีประหยัดไฟ ก็ต้องเลือกที่มีเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์
3. เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
เครื่องหมาย มอก. ย่อมาจาก เครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย เป็นเครื่องหมายที่รับรองผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นคำแนะนำในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความปลอดภัย ทั้งยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีความพร้อมของอะไหล่ในกรณีที่มีการซ่อมแซม และมีมาตรฐานเท่าเทียมกันในการใช้งานและบำรุงรักษา รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มี มอก. นั้นหมายถึงมีคุณภาพสูงและราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อความปลอดภัยในการเลือกซื้อแอร์ยี่ห้อไหนดี อย่าลืมเลือกที่มีเครื่องหมายมอก. เป็นอย่างแรก
4. ตัวกรอง PM 2.5
PM 2.5 เป็นอนุภาคในชั้นบรรยากาศที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร ซึ่งละเอียดมากจนมองไม่เห็นด้วยตา เพื่อให้อากาศภายในบ้านของคุณบริสุทธิ์จึงควรเลือกซื้อแอร์บ้านยี่ห้อไหนดีที่มีตัวกรอง PM 2.5 จะได้รับการพัฒนาสำหรับระบบปรับอากาศแบบอินเวอร์เตอร์ และสามารถกรองอนุภาคสกปรกในบรรยากาศได้ตั้งแต่ฝุ่นละออง ขนสัตว์ ควันบุหรี่ และสารก่อภูมิแพ้จากแบคทีเรีย ที่ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียต่ออาการแพ้และระบบทางเดินหายใจของคุณ เพื่อให้อากาศในบ้านสะอาดและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นควรเลือกที่มีตัวกรองฝุ่น PM 2.5
5. ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5
การจะเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าใด ๆ ก็ตาม รวมถึงเครื่องปรับอากาศนั้น ควรเลือกที่มีฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เพราะหมายความว่านั่นคือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานที่ได้มาตรฐานตามที่ กฟผ. และกระทรวงพลังงานกำหนด โดยฉลากประหยัดไฟนั้นจะมีระดับตั้งแต่เบอร์ 1 ถึงเบอร์ 5 และเบอร์ 5 คือระดับที่ประหยัดไฟมากที่สุด การเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5 นั้น คือหนึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคอย่างเราเอาไว้ตัดสินใจเวลาเลือกซื้อ เพื่อให้การใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด นอกจากนี้แล้วฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ยังช่วยให้เราคำนวณค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อปีได้ด้วย ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพในการช่วยประหยัดพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน ทำให้เราสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น
1. ฟิลเตอร์สกปรก
แผ่นกรองอากาศสกปรกเป็นสาเหตุที่เจอได้บ่อยที่สุด เวลาที่ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ เกาะสะสมบนฟิลเตอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนอุดตันทำให้ลมระบายยาก ยังทำให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมานอกจากแอร์ไม่เย็นด้วย เช่น ส่งผลกับเทอร์โมสตัด ท่อลมตัน คอยล์เย็นมีน้ำแข็งเกาะกันไม่ให้ความเย็นออกมาได้ อาจจะมีปัญหาน้ำหยดต่ออีกต่างหาก ฟิลเตอร์สกปรกก็ควรล้างแอร์ ควรจะล้างแอร์ทุก 6 เดือนครับ
2. คอมเพลสเซอร์ไม่ทำงาน
คอมเพลสเซอร์เป็นหัวใจของเครื่องปรับอากาศครับ มีหน้าที่อัดน้ำยาแอร์ไปตามท่อทองแดงไปที่คอยล์ร้อนเพื่อดึงความร้อนออกผ่านพัดลมระบายอากาศ ถ้าคอมเพลสเซอร์ไม่ทำงาน ก็ไม่มีตัวคอยช่วยดึงความร้อนออก แอร์ก็ไม่มีทางเย็นแน่ ๆ ถึงพัดลมระบายยังหมุนอยู่ก็ตาม สาเหตุคอมเพลสเซอร์ไม่ทำงานอาจมาจากแอร์บางรุ่นที่ปิดการทำงานเมื่อไฟตก สับเบรกเกอร์ก็หาย แต่ถ้าไม่ใช่ ต้องเรียกช่างเปลี่ยนอะไหล่บางตัวหรือยกเครื่องคอมเพลสเซอร์ใหม่
3. น้ำยาแอร์รั่ว
เวลาน้ำยาแอร์รั่วจะเป็นคราบน้ำมันลื่น ๆ แถว ๆ จุดรั่วซึม ปกติน้ำยาแอร์มีโอกาสรั่วซึมได้หลายจุดเลย โดยเฉพาะแอร์รุ่นเก่า สาเหตุก็หลากหลาย อาจจะเริ่มจากการติดตั้งแอร์ที่ไม่ได้มาตราฐาน แรงดันน้ำยาภายในระบบ เป็นต้น ถ้าเติมน้ำยาแอร์อย่างเดียว แรก ๆ ก็เย็น แต่ไม่กี่เดือนก็กลับมาออกแต่ลมอีก ต้องเชื่อมอุดรอยรั่วถึงจะหาย แต่ถ้าเป็นจุดที่สังเกตยาก ต้องไล่เช็กทีละจุด
4. BTU แอร์ไม่เหมาะกับขนาดห้อง
สาเหตุนี้อาจต้องย้อนกลับไปถึงตอนติดตั้งแอร์กันเลย แอร์แต่ละตัวมีพลังสร้างความเย็นไม่เท่ากัน แอร์บางรุ่นมี BTU สูงเหมาะกับห้องกว้าง ๆ หลายตารางเมตร แอร์บางรุ่นมี BTU ต่ำลงมาหน่อยก็เหมาะกับห้องกะทัดรัด การติดตั้งแอร์ที่ไม่เหมาะกับขนาดห้องทำให้แอร์เย็นไม่ทั่วถึงได้
5. เปิดโหมดพัดลม
คนเราพลาดกันได้เสมอครับ! ลองหยิบรีโมตแอร์มาเช็กสักหน่อยว่าคุณเผลอไปเปิดโหมดพัดลมไว้หรือเปล่า จริง ๆ โหมดพัดลมไม่ใช่ไร้ประโยชน์นะครับ โหมดพัดลมช่วยลดกลิ่นอับจากแอร์ได้ ยืดอายุการใช้งานของคอยล์เย็นเพราะช่วยขับความชื้นสะสมข้างใน ทำให้คอยล์เย็นทำงานไม่หนักมากครับ แต่โหมดพัดลมช่วยขับเหงื่อจากตัวเจ้าของไม่ได้เลย เผลอไปโดนทีไร รู้ตัวอีกทีก็เหงื่อซกแล้ว ฉะนั้น ลองเช็กกันก่อนนะครับ แต่ถ้าเช็กแล้วก็เปิดโหมดทำความเย็นปกติ ไม่แน่ใจว่าแอร์ไม่เย็นเพราะสาเหตุอื่นหรือเปล่า
กลิ่นเหม็นอับจากเครื่องปรับอากาศมักเกิดจากการสะสมของเชื้อราในเครื่อง ซึ่งเกิดจากความชื้นที่ยังคงค้างอยู่ ไม่สามารถออกมาได้ เมื่อเจอกับอากาศร้อนในบ้านเราเชื้อรายิ่งเจริญเติบโตได้ดี และเมื่อเชื้อรากัดกินพลาสติก การล้างแอร์ด้วยวิธีปกติจึงไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
วิธีแก้ปัญหากลิ่นอับของเครื่องปรับอากาศ
-หมั่นรักษาความสะอาดเครื่องปรับอากาศ
-กำจัดแหล่งความชื้นภายในห้องที่ติดเครื่องปรับอากาศ เช่น ตู้ปลา ถ้ามีให้ใช้เป็นตู้ปลาแบบปิดฝา การปลูกต้นไม้ไว้ในห้องก็ถือเป็นการเพิ่มความชื้นให้กับห้องเช่นกัน
-แต่หากเครื่องปรับอากาศมีกลิ่นเหม็นอับไปแล้วควรล้างแอร์ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อรา แล้วปล่อยให้แอร์พร้อมท่อน้ำทิ้งแห้งสนิท อาจจะทิ้งไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเปิดใช้งานในครั้งถัดไป
-หากเชื้อราขึ้นในจุดที่ไม่สามารถล้างทำความสะอาดได้ เช่นแผ่นกรองขนาดเล็ก ท่อน้ำทิ้ง PVC แนะนำให้เปลี่ยนใหม่
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นเหม็นที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อรา ซึ่งเราควรหาต้นตอของสาเหตุนั้นเช่นการต่อท่อน้ำทิ้งออกไปด้านนอก กลิ่นเหม็นจากด้านนอกอาจย้อนเข้ามาในตัวเครื่อง
1.แผ่นกรองอากาศมีฝุ่นมากเกินไป
การที่เรานั้นไม่ได้ทำความสะอาดแผ่นกรองเลย ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้แอร์ของเรานั้นมีน้ำหยดลงมา เพราะว่ามีสิ่งสกปรกมากจนเกินไป ทำให้อากาศนั้นไม่ระบายทำให้แอร์ห้องเรานั้นไม่เย็นอีกด้วย นอกจากจะไปทำให้แอร์ไม่เย็นแล้วฝุ่นนั้นจะจับตัวกับน้ำเป็นก้อนทำให้น้ำแอร์ไม่ระบายแล้วก็จะหยดออกมานั้นเอง
2.ท่อน้ำทิ้งสกปรกจนเกิดการอุดตัน
สิ่งสกปรกเยอะเกินไปนั้นเป็นปัญหาแรก ๆ เลยที่เรานั้นควรที่จะสังเกต มันเกิดจากการที่เรานั้นล้างแอร์ไม่ได้มาตรฐาน หรืออีกหนึ่งอย่างคือการที่วางท่อแอร์ยาวจนเกิดไปทำให้เวลาล้าง ล้างไม่หมดทำให้ยังมีสิ่งสกปรกหลงเหลืออยู่ แล้วมันก็จะอุดตันขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาผ่านไปน้ำไม่สามารถไหลออกได้จนกระทั่งมันออกกลับออกมาสู่แอร์ ก็ทำให้น้ำหยดได้อีกด้วย
3.ติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม
ปัญหานี้เป็นปัญหาที่หลายคนไม่คาดคิด การที่เรานั้นติดแอร์ไว้บริเวณที่โดนความร้อนมากจนเกินไป ทำให้อากาศและความเย็นของแอร์เกิดการควบแน่นจยกลายเป็นหยดน้ำ และไหลออกมาจากแอร์ในที่สุด แต่เราจะมาย้ายแอร์นั้นก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ดังนั้นวิธีแก้ง่าย ๆ ก็คือ การที่เรา ติดฟิล์มหรือการติดผ้าม่านเพื่อกันความร้อนเพื่อไม่ให้อากาศเกิดการควบแน่นกลายเป็นน้ำแอร์หยดในภายหลัง
4.ถาดน้ำทิ้งชำรุดหรือเกิดความเสียหาย
ไม่ว่าจะเป็นการที่มีรูรั่ว หรือการเสียหายของการหรือแตกหัก การที่ถาดน้ำทิ้งไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก็ทำให้น้ำแอร์หยดได้ทั้งหมด เพราะน้ำไหลผ่านถาดน้ำทิ้ง หากมีการเสียหายหรือแตกหักก้จะทำให้น้ำไหลลงมาเหมือนกัน
5.น้ำยาแอร์ไม่เพียงพอ
น้ำแอร์ไม่เพียงพอทำให้แอร์เกิดการควบแน่นจนกลายเป็นน้ำแอร์หยดในที่สุด การสังเกตก็ง่าย ๆ เลย ให้เรานั้นสังเกตที่คอยล์เย็นว่ามีน้ำแข็งมาเกาะหรือไม่ หรือว่ามีลักษณะที่แห้งไม่มีไอน้ำใด ๆ ออกมา หากมีทั้ง 2 อย่างนี้ออกมาให้เรานั้นคาดเดาไว้ก่อนเลยว่าน้ำแอร์ของเรานั้นไม่เพียงพอแล้วให้รียติดต่อนายช่างเลย
6.สิ่งแปลกปลอมหรือสัตว์ขนาดเล็กในตัวเครื่อง
การที่น้ำแอร์หยดนั้นส่วนมากเกิดจากการที่มีสิ่งอุดตันเข้าไปเป็นส่วนมาก และการอุดตันอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือการที่มีแมลงหรือสัตว์เล็ก ๆ เข้าไปตายอยู่ในนั้นเพราะจะทำให้การทำงานของแอร์ผิดปกติและไม่สามารถให้ความเย็นได้แบบที่ควรจะเป็น ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มเป็นไอน้ำและกลายเป็นน้ำแอร์หยดในภายหลัง ทว่าในกรณีนี้อาจสร้างความเสียหายอื่น ๆ นอกเหนือจากน้ำแอร์หยดได้อีกด้วย